ภาษา
David Bradley (1975) นักภาษาศาสตร์ชาวออสเตรเลียได้ศึกษาภาษาถิ่นต่างๆ ในตระกูลภาษาทิเบต-พม่า อย่างลึกซึ้ง ได้จัดกลุ่มภาษาลาหู่อยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลจีน-ทิเบต (Sino-Tibetan) สาขาทิเบต-พม่า กลุ่มภาษาโลโลดั้งเดิม (Proto-Lolo) และแตกสาขาย่อยลงมาในกลุ่มพม่า-โลโล สาขาโลโลกลาง (Central Lolo) ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับภาษาลีซู และภาษาอาข่า
ภาษาลาหู่เป็นภาษาที่ไม่มีตัวอักษรหรือระบบการเขียนเป็นของตนเองมาก่อน แต่ต่อมาภายหลังมีหมอสอนศาสนาจากโลกตะวันตกได้ใช้อักษรโรมันสร้างระบบการเขียนภาษาลาหู่ขึ้น ภาษาลาหู่เป็นภาษาที่มีระบบการเรียงคำแตกต่างจากภาษาไทย แต่เหมือนภาษาพม่า เพราะมาจากภาษาตระกูลเดียวกัน กล่าวคือ ประธาน - กรรม - กริยา (ในขณะที่ภาษาไทยเรียงคำเป็นประธาน – กริยา – กรรม) เช่น ประโยคที่คนไทยพูดว่า ฉันกินข้าว คนลาหู่จะพูดว่า หง่าอ่อจ้าเว (หง่า = ฉัน, อ่อ = ข้าว, จ้า = กิน, เว = คำลงท้าย)
เป็นที่น่าสังเกตว่า การที่ภาษาลาหู่ไม่มีเสียงพยัญชนะท้าย ทำให้คนลาหู่ที่เริ่มหัดพูดภาษาไทยมักประสบความยุ่งยากในการออกเสียงตัวสะกดในภาษาไทย จึงมักจะทำเสียงตัวสะกดของภาษาไทยหายไป เช่น หมด กบ ตก จะออกเสียงเป็น โหมะ โกะ โตะ
อย่างไรก็ตาม การรู้จักธรรมชาติการออกเสียงภาษาไทยของชาวลาหู่ ก็นับว่ามีประโยชน์อย่างมากในการสืบสาวร่องรอยอิทธิพลของวัฒนธรรมชนชาติไท – ไต ที่มีต่อวัฒนธรรมลาหู่ ตัวอย่างเช่น การศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาของลาหู่ ทำให้ทราบข้อเท็จจริงว่าลาหู่ได้รับอิทธิพลของศาสนาพุทธนิกายเถรวาทจากวัฒนธรรมไทยเป็นส่วนใหญ่ เช่น คำว่า โตโบ ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาสูงสุดในชุมชนน่าจะมาจากคำว่า “ต๋นบุญ” ในภาษาไทยทางภาคเหนือนั่นเอง รวมทั้งคำว่า “ปู่จอง” ซึ่งอาจแปลว่า มัคทายก ในภาษาไทย (จอง ในภาษาไทยใหญ่ แปลว่า “วัด”) (โสฬส, 2539 : 12)
ในประเทศไทย พบว่ามีชาวลาหู่กลุ่มสำคัญๆ จำนวน 7 กลุ่มย่อย คือ
1. ลาหู่นะ (Lahu Na) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่
อำเภอฝาง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และในเขตจังหวัดเชียงราย
2. ลาหู่ญี (Lahu Nyi) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีประชากรมากที่สุด อาศัยอยู่ใน
เขตพื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมือง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
3. ลาหู่แซแล้ (Lahu Shehleh) หรือบางทีเรียก ลาหู่นะเหมี่ยว อาศัยอยู่
ในเขตจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน และตาก
4. ลาหู่เหลือง (Lahu Shi) เป็นกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ อาศัยอยู่
ในจังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่
5. ลาหู่ลาบา (Lahu Laba or Laban) เป็นกลุ่มที่เพิ่งอพยพเข้ามา
อาศัยอยู่ในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
6. ลาหู่ฟู (Lahu Phu) มีอยู่จำนวนเล็กน้อยในจังหวัด
เชียงราย
7. ลาหู่ฌีบาเกียว (Lahu Shibakio) อาศัยอยู่ปะปน กับกลุ่มอื่น พบมาในจังหวัดเชียงราย
ในอดีตลาหู่ทอผ้าใช้เอง แต่ในปัจจุบันแทบจะไม่มีใครทอผ้าใช้เอง นอกจากจะทอพวกของใช้ที่มีขนาดเล็กๆ เช่น ย่าม หรือสายสะพายย่ามเท่านั้น เสื้อผ้าของลาหู่จะใช้ผ้าดำ หรือผ้าสีฟ้าซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเป็นลาหู่กลุ่มใด และตกแต่งด้วยผ้าหลากสีเป็นลวดลายสวยงาม ลาหู่มีหลายกลุ่ม รูปแบบของตัวเสื้อและลายบนเสื้อผ้าจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่ม แต่ทุกกลุ่มจะนุ่งซิ่นเช่นเดียวกัน เสื้อของหญิงลาหู่ดำจะมีสองตัว ตัวในจะเป็นเสื้อแขนยาวตัวสั้นแค่เอว ส่วนตัวนอกจะเป็นเสื้อแขนยาวตัวเสื้อยาวถึงน่อง ตกแต่งด้วยผ้าหลากสีและเครื่องเงิน สำหรับเสื้อผ้าของผู้ชายลาหู่ทุกกลุ่ม ทั้งเสื้อและกางเกงจะใช้ผ้าสีดำ ใช้ผ้าสีต่างๆ ทำเป็นแถบยาวซ้อนกันบริเวณปลายขากางเกง ปลายแขนเสื้อ และด้านหน้าตัวเสื้อ แต่จะไม่มีลวดลายมากเหมือนกับเสื้อผ้าของผู้หญิง ผู้ชายลาหู่สวมถุงน่องด้วยในขณะที่ผู้หญิงไม่สวม
ลักษณะการแต่งกายของผู้ชาย
ลักษณะการแต่งกายของผู้ชายคือสวมใส่เสื้อแขนยาวสีดำ ประัดับด้วยเม็ดโลหะเงินและลายปักต่างๆ ส่วนกางเกงใช้สีดำ สีเขียว สีฟ้า เย็บปักด้วยมือที่สวยงาม |
---|
เครื่องประดับ
เครื่องประดับเหล่านี้มีความสำคัญต่อชุมชนของลาหู่อย่างมาก เป็นเอกลักษณ์ของชาวลาหู่ เพื่อใช้ประดับให้เกิดความสวยงาม ซึ่งเครื่องประดับของลาหู่มีดังนี้
1.กำไลตุ้มหู
2.กำไลคอ
3.กำไลเข็มกลัด
4.กำไลเงินมือ
5.เม็ดโลหะเงินและอลูมิเนียมเล็กๆ
เครื่องประดับเหล่านี้มีความสำคัญต่อชุมชนของลาหู่อย่างมาก เป็นเอกลักษณ์ของชาวลาหู่ เพื่อใช้ประดับให้เกิดความสวยงาม ซึ่งเครื่องประดับของลาหู่มีดังนี้
1.กำไลตุ้มหู
2.กำไลคอ
3.กำไลเข็มกลัด
4.กำไลเงินมือ
5.เม็ดโลหะเงินและอลูมิเนียมเล็กๆ
การแต่งกายในช่วงที่มีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ชาวลาหู่ในสมัยก่อนเวลามีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก็จะมีการสวมใส่ชุดประจำเผ่าเสมอ แต่มาถึงปัจจุบัน การใส่ชุดประจำเผ่าในชนเผ่าลาหู่เริ่มหาดูได้ยาก เนื่องจากการพัฒนาของสังคมเมือง ทำให้ค่านิยมในการใส่เสื้อเปลี่ยนไป หันไปใส่เสื้อผ้าแบบทันสมัยใหม่ เช่นกางเกงยีนต์ เสื้อยีนต์เป็นต้น เพราะว่ามีการวางขายตามร้านทั่วไป ส่วนชุดชนเผ่าหาได้ยาก อีกอย่างสังคมไม่ยอมรับ เมื่อใส่ชุดชนเผ่าเข้าในเมือง เ่รากลับถูกมองเหมือนตัวประหลาดตัวหนึ่ง จึงทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่ชอบใส่ชุดประจำเผ่ากัน เพราะว่าอายคนในเมืองและ บางคนคิดว่าเขามี การพัฒนาพอที่จะแยกแยะออกว่า ควรใส่ช่วงเวลาไหนและ ไม่ควรใส่ช่วงเวลาไหน ผมเชื่อว่าผู้เฒ่าผู้แก่หลายๆ คนอยากบอก อยากสอนให้ลูกหลานว่าเราจะต้องหันกลับมาอนุรักษ์ และรักษาชุดชนเผ่าและประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามคงไว้ได้แล้ว
ชาวลาหู่ในสมัยก่อนเวลามีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก็จะมีการสวมใส่ชุดประจำเผ่าเสมอ แต่มาถึงปัจจุบัน การใส่ชุดประจำเผ่าในชนเผ่าลาหู่เริ่มหาดูได้ยาก เนื่องจากการพัฒนาของสังคมเมือง ทำให้ค่านิยมในการใส่เสื้อเปลี่ยนไป หันไปใส่เสื้อผ้าแบบทันสมัยใหม่ เช่นกางเกงยีนต์ เสื้อยีนต์เป็นต้น เพราะว่ามีการวางขายตามร้านทั่วไป ส่วนชุดชนเผ่าหาได้ยาก อีกอย่างสังคมไม่ยอมรับ เมื่อใส่ชุดชนเผ่าเข้าในเมือง เ่รากลับถูกมองเหมือนตัวประหลาดตัวหนึ่ง จึงทำให้เด็กรุ่นใหม่ไม่ชอบใส่ชุดประจำเผ่ากัน เพราะว่าอายคนในเมืองและ บางคนคิดว่าเขามี การพัฒนาพอที่จะแยกแยะออกว่า ควรใส่ช่วงเวลาไหนและ ไม่ควรใส่ช่วงเวลาไหน ผมเชื่อว่าผู้เฒ่าผู้แก่หลายๆ คนอยากบอก อยากสอนให้ลูกหลานว่าเราจะต้องหันกลับมาอนุรักษ์ และรักษาชุดชนเผ่าและประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามคงไว้ได้แล้ว
แหล่งอ้างอิง
http://www.hilltribe.org/thai/lahu/lahu-dress.php
http://tribalcenter.blogspot.com/2012/02/blog-post.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น