วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประวัติความเป็นมาและการอพยพชนเผ่าพื้นเมืองลาหู่

ประวัติความเป็นมาและการอพยพชนเผ่าพื้นเมืองลาหู่
     ชนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่าลาหู่หรือละหู่(lahu)ซึ่งแปลว่าคนมีเชื้อสายมาจากกลุ่มโลโลซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองอาศัยอยู่บนที่ราบสูงทิเบต-ชิงไห่และได้รับการยอมรับจากจีนให้จัดการปกครองตนเองได้อย่างอิสระบริเวณตอนกลางและตอนใต้ของมณฑลยูนนานก่อนที่ชนชาติไทใหญ่และจีนจะเข้าไปครอบครองต่อมาได้มีการอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นอยู่ตลอดเวลาในแถบประเทศจีน พม่า ลาว และไทย


คนจีนในมณฑลยูนนานเรียกชนกลุ่มนี้ว่าหลอเหยส่วนที่มาของคำว่ามูเซอนั้นFrankM.Lebarสันนิษฐานว่าเป็นคำที่มาจากภาษาไทใหญ่ในรัฐฉานมีความหมายว่านายพราน” (ถาวร2543:41,โสฬส2539:7)ขณะที่จิตรภูมิศักดิ์ (2529)อธิบายไว้ว่าอันที่จริงคำมูเซอที่แปลว่าพรานป่านั้นมิใช่ภาษาไทใหญ่ หากเป็นคำที่ไทใหญ่ขอยืมมาจากภาษาพม่าซึ่งเรียกนายพรานว่ามกโซโสฬส(2539)กล่าวว่าได้สัมภาษณ์ผู้รู้ชาวพม่าและได้รับคำอธิบายว่าคำว่าพรานในภาษาพม่าซึ่งเขียนว่ามุฉุยะแต่อ่านออกเสียงได้ว่ามกโซแต่ในวิถีชีวิตจริงเมื่อคนพม่าพูดถึงนายพรานจะออกเสียงว่ามูเซเมื่อคนไทใหญ่เรียกชื่อชนกลุ่มนี้ตามอย่างคนพม่าจึงอาจจะออกเสียงเป็นมูเซอ"Authony R.walkerนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันได้กล่าวถึงบันทึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับลาหู่ไว้ว่า(โปรดดูสมาคมIMPECT (2545),โสฬส(2539))แต่ก็ยังมีลาหู่อีกส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธการครอบงำทางวัฒนธรรม และไม่ยอมถูกกดขี่ก็พากันอพยพลงมาทางใต้ของประเทศจีนและตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่ในมณฑลยูนนานลงไปถึงแคว้นเชียงตุงของพม่าในปี2525มีตัวเลขแสดงให้เห็นว่ามีจำนวนชาวลาหู่อยู่ถึง474,000คน(สมาคมIMPECT, 2545)


     ก่อนคริสตศตวรรษที่ 19 ลาหู่เคยเร่ร่อนมาก่อน ต่อมาจีนได้ให้อำนาจการปกครองตนเองแก่ลาหู่โดยให้หัวหน้ากลุ่มเป็นผู้รับสาส์นตราตั้งจากพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อแสดงให้เห็นว่าลาหู่ยังคงยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองของจักรพรรดิแต่ภายหลังจากที่จีนได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจีนได้ส่งเจ้าหน้าที่ทางทหารเข้าไปปกครองท้องถิ่นรวมทั้งดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนในแถบมณฑลยูนนานอันเป็นที่อยู่อาศัยของชาวลาหู่ส่วนใหญ่(ศาสตราจารย์ต้วนลีเชิงนักมานุษยวิทยามหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ให้ข้อมูลเพิ่มไว้ว่าในปี2525มีลาหู่320,000คนอยู่ในเขตอำเภอล้านช้างถึง154,000คนฉะนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่าชุมชนใหญ่ของลาหู่อยู่ที่อำเภอล้านช้างในแคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน)ทำให้ชาวลาหู่ส่วนหนึ่งเกิดความไม่พอใจพากันกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจการปกครองของจีน


      ในที่สุดผู้นำทางศาสนาคนหนึ่งได้รวบรวมศาสนิกตั้งตัวขึ้นเป็นขบถจับอาวุธขึ้นต่อสู้และมีการบันทึกไว้ว่า(โสฬส, 2539)ชาวลาหู่พร้อมด้วยอาวุธซึ่งประกอบด้วยหน้าไม้และลูกธนูอาบยาพิษได้ทำการต่อต้านทหารจีนอย่างเข้มแข็งแต่ในที่สุดก็ไม่สำเร็จลาหู่ส่วนใหญ่จำยอมอยู่ภายใต้อาณัติของจีนยอมรับอำนาจการปกครองของจีนและยอมผสมผสานกับวัฒนธรรมจีนที่แผ่ขยายเข้ามาพร้อมกับอำนาจทางการเมืองจนกลายเป็นชาวจีน 


  ต่อมาเมื่อลาหู่ทนต่อการปกครองของทหารจีนไม่ไหวกลุ่มหนึ่งได้หนีอพยพลงมาอยู่ในแคว้นเชียงตุงประเทศพม่าขณะที่มีการอพยพนั้นเขตเชียงตุงอยู่ในอำนาจการปกครองของอังกฤษWalkerได้อ้างรายงานของร้อยเอกMcLeodนายทหารฝ่ายข่าวกรองของอังกฤษซึ่งได้บันทึกไว้เมื่อปีค.ศ.1837เกี่ยวกับลาหู่ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มที่อพยพมาจากจีนว่า(โสฬส, 2539)ลาหู่รับเอาวัฒนธรรมการปกครองจาก
ชาวไทใหญ่ในรัฐฉานโดยเรียกผู้นำที่มีฐานะทางสังคมสูงว่าพญา”(Pha-ya)เมื่อชาวลาหู่เข้ามาอยู่ในเขตเชียงตุงประเทศพม่าก็พบกับปัญหาสำคัญอีกหลายประการโดยเฉพาะกับความพยายามของกลุ่มหมอสอนศาสนาชาวอังกฤษซึ่งพยายามโน้มน้าวให้ลาหู่ละทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมแล้วหันไปนับถือศาสนาคริสต์ชาวลาหู่ซึ่งมีความศรัทธาต่อศาสนาดั้งเดิมม่ปรารถนาเช่นนั้น จึงเกิดการรวมกลุ่มขึ้น โดยมีผู้นำศาสนาดั้งเดิมคนหนึ่งชื่อมะแฮได้ตั้งตนขึ้นเป็นผู้วิเศษเพื่อรวบรวมบริวารต่อต้านการครอบงำจิตสำนึกของฝ่ายคริสตจักรอังกฤษซึ่งทำให้ชาวลาหู่จากที่ต่างๆเดินทางไปแสวงบุญและมอบตัวเป็นบริวารกับปู่จองมะแฮเป็นจำนวนมากจึงคิดวางแผนยึดเอาเมืองสาต(Hsat)เพื่อตั้งเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรลาหู่ขึ้นในที่สุดฝ่ายอังกฤษซึ่งปกครองพม่าอยู่ก็ต้องส่งกำลังเข้าปราบปรามแต่ฝ่ายของปู่จองมะแฮก็เตรียมรับมืออย่างแข็งขันด้วยการขุดคู ปักไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลมไว้รอบๆที่มั่นและสร้างขวัญกำลังใจให้แก่บริวารด้วยการแจกเทียนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งปู่จองมะแฮอ้างว่าเป็นตัวแทนแห่งอำนาจของพระเจ้าที่จะช่วยปกป้องบริวารมิให้ได้รับอันตรายจากอาวุธของฝ่ายตรงกันข้าม 
        แต่เมื่อการสู้รบผ่านไป ศรัทธาและความเชื่อถือของบริวารทั้งหลายก็ค่อยๆเสื่อมถอยเพราะทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผนที่เคยคุยกันไว้ลาหู่บริวารพากันล้มตายลงทุกวันเมื่อฝ่ายอังกฤษบุกเข้าถึงที่มั่นสุดท้ายลาหู่ที่เหลือรวมทั้งปู่จองมะแฮก็เผ่นหนีเอาชีวิตรอดจนกระทั่งได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อประมาณ 200 กว่าปีที่แล้ว

   การอพยพครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่ออังกฤษคืนเอกราชให้พม่าเพื่อเปิดโอกาสให้จัดตั้งรัฐบาลปกครองตนเอง ชาวลาหู่ในพม่าก็ต้องเผชิญกับปัญหาในการดำรงชีวิตด้วยแรงกดดันจากนโยบายอันแข็งกร้าวของรัฐบาลที่กระทำต่อชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ แรงกดดันจากการดำเนินนโยบายดังกล่าว ก่อให้เกิดการรวมตัวของลาหู่อีกครั้งหนึ่ง 

      โดยมี ปู่จองจะฟู” ผู้นำทางศาสนาคนสำคัญคนหนึ่งของชาวลาหู่ได้ตั้งตนขึ้นเป็นผู้วิเศษใช้ชื่อว่าเหมาะนะ-โตโบหรือฤษีลิงดำ”(โดยทั่วไปจะรู้จักกันในชื่อว่าปู่จองหลวง”)ขึ้นที่ดอยลางเขตเมืองเชียงตุงมีการกระจายข่าวลือไปยังลาหู่ทั้งที่อยู่ในเขตพม่าและเขตไทยว่าได้มีพระเจ้าจากสวรรค์ลงมาประทานข้าวทิพย์อาหารทิพย์แก่ชาวลาหู่ทุกคน ขอให้คนที่อยากได้ข้าวทิพย์อาหารทิพย์เดินทางไปเฝ้าพระเจ้าที่ดอยลางการเฝ้าพระเจ้าในที่นี้คือการนำเงินหรือสิ่งของมีค่าอื่นไปเซ่นไหว้เหมาะนะโตโบซึ่งถือเป็นร่างทรงหรือเป็นตัวแทนของพระเจ้าเพื่อขอพรหรือเพื่อรักษาโรคไข้เจ็บต่างๆ

    การต่อต้านครั้งนี้ชาวลาหู่สามารถรวบรวมผู้คนและทรัพย์สินเพื่อสะสมอาวุธได้เป็นจำนวนมากเนื่องจากชาวลาหู่มีศรัทธาต่อตัวผู้นำศาสนาของตนเป็นอย่างมากแต่การต่อต้านครั้งนี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเหมาะนะ-โตโบจึงต้องพาบริวารหนีเข้าเขตประเทศไทยและได้ตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณบ้านต้นน้ำแม่มาว ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และแถบบริเวณเขตติดต่อระหว่างจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย จนกระทั่งเสียชีวิตที่อำเภอฝางเมื่อปี พ.ศ. 2527การอพยพครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งสำคัญหลังจากนั้นก็มีการอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยแบบประปรายสาเหตุก็เนื่องมาจากนโยบายการปราบปรามของรัฐบาลพม่าการชักนำของหมอสอนศาสนาและการชักชวนของญาติพี่น้อง


แหล่งอ้างอิง
http://tribalcenter.blogspot.com/2012/02/blog-post.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น