เชื้อชาติ
ชาวไทใหญ่ทั้งหมดสามมารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มดังนี้
- 1. ชาวไทใหญ่ หรือไทหลวง(ไตโหลง)
- 2. ชาวไทลื้อ มีถิ่นฐานอยู่ในแคว้นสิบสองปันนาของประเทศจีน และทางตะวันออกของรัฐฉาน
- 3. ชาวไทเขิน(ไตขึน) เป็นประชากรส่วนใหญ่ของเมืองเชียงตุง
- 4. ชาวไทเหนือ(ไตเหลอ) อาศัยอยู่ในแค้วนใต้คง(เต้อหง) ของประเทศจีน
ภาษา
แม้ภาษาไทใหญ่รัฐ ฉานที่อนุญาตให้สอนในอดีตนั้น ภาษาไทใหญ่เป็นเพียงวิชาเลือก มีการเรียนแต่ไม่มีการสอบ ถึงมีการสอบก็ไม่มีการเอาคะแนนไปสะสมแต่ ว่าไทใหญ่ก็จะเดือดร้อนมาก เพราะใช้ภาษาของตนเองไม่ได้เต็มที่ การเรียนหนังสือก็เรียนภาษาพม่าซึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งซึ่งไม่คล้ายคลึงกันมาก การเรียนรู้ให้ดีทั้งสองภาษาจึงเป็นไปได้ยาก และเพราะเหตุที่ชาวไทใหญ่ละเลยภาษาของตนเองมานานนี้เอง การดำรงความเป็นปึกแผ่นในชาติไทใหญ่จึงเป็นไปได้ยาก เจ้าขุนสาม ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายวัฒนธรรมรัฐฉานในอดีต เคยออกสำรวจคนไทในพม่า พบว่ามีคนไทใหญ่พูดภาษาไทใหญ่มากมายหลายแห่ง แต่ไม่ได้จำนวนที่แน่นอน เพราะคนไทเหล่านั้นจะเรียกตนเองว่าเป็นพม่า พูดภาษาพม่า แต่งกายเป็นพม่า แต่งตัวเป็นพม่า จนกว่าจะไปถึงบ้าน จึงสามารถรู้ได้ว่าพวกเขารักษาภาษา และวัฒนธรรมไทใหญ่ไว้ได้แค่ไหน
วัฒนธรมประเพณี
ประเพณีปอยส่างลอง(บวชลูกแก้ว)
ประเพณีปอยส่างลอง คือ “งานบวชลูกแก้ว” เพื่อทำการบรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา โดยจะพบเห็นการจัดปอยส่างลองกันมากที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมือง อำเภอขุนยวม และอำเภอปาย คนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมประเพณีนี้ก็สืบเชื้อสายมาจากไทใหญ่ ซึ่งก็ได้ร่วมกันสืบทอดงานประเพณีนี้มาเป็นเวลาช้านาน ดังปรากฏว่าหลักฐานว่าประเพณีนี้มีมาตั้งแต่มีการสร้างแปลนเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งก็ ได้มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ทุกๆปี เนื่องจากเป็นประเพณีที่สำคัญทางศาสนา และเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด
การรำนก รำโต

ตำนานการรำนกรำโต รำนกรำโต เป็นศิลปะการแสดงฟ้อนรำของชนเผ่าไทยใหญ่ที่มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมานานว่า รำนกรำโตเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อสมัยพุทธกาล ในวันที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงมาจากสวรรค์หลังจากเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในวันนั้นสัตว์ทั้งสามโลกจะสามารถมองเห็นกันได้ทั้งหมด มีเทวดา มนุษย์ และสัตว์ในป่าหิมพานต์ พากันมาเฝ้ารับเสด็จ เพื่อทำบุญใส่บาตร พระพุทธเจ้า เป็นจำนวนมาก ในกาลครั้งนั้นมีนกกินรี (นางนก) หรือกิ่งกะหร่า เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์จำพวกหนึ่ง ที่มีรูปร่างลักษณะแปลกคือ ลักษณะครึ่งมนุษย์ ครึ่งสัตว์ปีก ได้ออกมารำแพนหรือฟ้อนรำ เพื่อถวายพระพุทธเจ้าโต เป็นสัตว์อีกชนิดที่อยู่ในป่าหิมพานต์ โตมีรูปร่างลักษณะแปลกคือ มีลักษณะสัตว์หลายๆชนิดร่วมอยู่ในร่างเดียว มีตัวเหมือนสิงโต มีหัวเหมือนกวาง มีหางเหมือนเยือง (เลียงผา) ได้ออกมาฟ้อน (ก้าโต) รับเสด็จเพื่อถวายพระพุทธเจ้าเช่นกัน นกกินรีและโต รู้สึกปราบปลื้มยินดี ที่ได้ฟ้อนถวายเป็นพุทธบุชา โตยังได้ช่วยคาบเอาข้าวตอก ดอกไม้ สิ่งของและทรัพย์สิน แก้วแหวนเงินทอง จากผู้มารับเฝ้าเสด็จ ทีประสงค์จะทำบุญใส่บาตรของพระพุทธเจ้า ด้วยลักษณะลำคออันยาว เป็นพิเศษของโต ทำให้มีผู้คนมากมาย เอาสิ่งของแก้วแหวนเงินทอง และข้าวตอก ดอกไม้ ฝากให้โต คาบมาถวายใส่บาตรของพระพุทธเจ้าแทนตนเองฟ้อนนกกินรีหรือนกกิ่งกะหร่า ของชนเผ่าไทยใหญ่ คือการฟ้อนรำที่ผู้รำแต่งกาย เลียบแบบนกกินรีนั่นเอง ฟ้อนร่ายรำไปตามจังหวะดนตรี และออกท่าทางเลียนแบบกิริยาของนกกินรี ตามที่จินตนาการขึ้น และเป็นท่ารำส่วยงามที่มีเอกำลักษณ์ไม่เหมือนใครฟ้อนโตหรือก้าโต ของชนเผ่าไทยใหญ่คือการฟ้อนรำที่ผู้ฟ้อนรำ แต่งกายเลียนแบบโต ฟ้อนร่ายรำไปตามจังหวะดนตรี และออกท่าทางเลียนแบบกิริยาของโต มีท่าทางที่ทะมัดทะแมง สง่างามชนเผ่าไทยใหญ่บ้านห้วยน้ำขุ่น อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัด เชียงราย ได้เรียกชื่อฟ้อนนกกินรีหรือนกกิ่งกะ หร่าว่ารำนก และเรียกชื่อฟ้อนโต หรือก้าโต ว่า รำโต ละนำศิลปะการแสดงดังกล่าวมาแสดงคู่กัน และเรียกชื่อว่า รำนก รำโต เพื่อให้เป็นที่รู้จักชื่อการแสดง เป็นชื่อกลางๆ เนื่องมาจากบ้านห้วยน้ำขุ่นมีประชาชนหลายชาติพันธ์
การแต่งกาย
ผู้ชาย
กางเกง เป็นกางเกงขาก๊วย เป้าและขาเหมือนกางเกงของชาวจีน เอวกว้างใช้พับทบเข้ามาให้พอดีกับเอว เรียกว่า “ก๋นไต” คาดด้วยเข็มขัดเสื้อ ตัวในใช้เสื้อเชิ้ต มีเสื้อกล้ามรองชั้นในอีกชั้นหนึ่ง เสื้อตัวนอกเป็นเสื้อคอกลมแขนยาว ไหล่เลยลงมาต่อตะเข็บตรงกึ่งกลางแขนผ่าหน้าติดด้วยกระดุมขอดห้าคู่ ด้านหนึ่งใช้ผ้าขอดเป็นหัวกระดุมลักษณะ หัวแมลงวัน อีกด้านหนึ่งทำเป็นห่วงเย็บติดขนานกันเหลือห่วงตรงหัวผ้าเป็นหูกระดุมแล้วนำหัวกระดุมมาสอดเข้ากับหูกระดุม จะมีชายผ้าเป็นทางเย็บทอดต่อจากหัวและหูกระดุมทั้งสองข้างยาวด้านละประมาณ ๒ นิ้ว ตัวยาวเท่าสะโพก เรียกว่า “เส้อแต้กปุ่ง” มักใช้ในโอกาสที่เป็นงานในพิธี
ผู้หญิง
คนในสมัยก่อนนิยมตัดเสื้อผ้าตัวใหญ่ ๆ ให้ลูกสวมใส่หรือใส่เสื้อผ้าสืบทอดกันไปในหมู่พี่น้อง ทั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัด เมื่อโตพอที่จะสวมผ้าซิ่นได้แล้ว แม่ก็จะสอนให้นุ่งผ้าซิ่นคาดเข็มขัด เสื้อชั้นในจะใช้เสื้อปักลายลูกไม้ที่ด้านหลัง ยกทรงเล็กน้อยตีเกล็ดถี่ๆไว้บนทรง บ่าใหญ่ประมาณ ๒ นิ้วมือ เป็นเสื้อผ่าหน้าใช้เข็มกลัดหรือติดกระดุมเรียกว่า “เส้อปิ๊ดจ่า” สวมเสื้อไตหน้าต่อทับด้านนอก ผู้ใหญ่ใช้ “เสื้อไตหน้าแว๊ด”แบบเสื้อชาวจีน คอกลมแต่ชายเสื้อสั้นแค่เอวมีกระดุมขอดสอดกับหูกระดุมอีกด้านหนึ่งเช่นเดียวกับเสื้อชาย หรือใช้กระดุมชุดที่ทำจากพลอยพม่า ถ้าใช้กระดุมชุดพลอยกระดุมผ้าที่เย็บติดกับตัวเสื้อจะเย็บเป็นหูทั้งสองข้าง ใช้ห่วงของกระดุมพลอยสอดคล้องกับหูของกระดุมผ้า แล้วใช้เม็ดพลอยลอดห่วงผ้าอีกข้างหนึ่งเพื่อลอดรั้งไห้ติดกันไว้ทั้งสองข้าง ผ้าซิ่นจะใช้ผ้าที่มีลวดลายเป็นส่วนใหญ่ เย็บตะเข็บเดียวเป็นผ้าถุงธรรมดา สมัยก่อนจะใช้ผ้าเนื้อนิ่มสีดำต่อตรงเอวเรียกว่า“หัวซิ่น”เวลานุ่งผ้าก็จะเหน็บชายหัวซิ่นได้แน่น ใช้เข็มขัดเงินคาดทับผ้าซิ่นแต่ละแบบที่หญิงไตนิยมใช้จะเรียกต่างๆกันไป
แหล่งอ้างอิง
https://b0m2006.wordpress.com/category/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88/
https://padungkait123.wordpress.com/fee-style/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C/%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88/
ผู้ชาย
กางเกง เป็นกางเกงขาก๊วย เป้าและขาเหมือนกางเกงของชาวจีน เอวกว้างใช้พับทบเข้ามาให้พอดีกับเอว เรียกว่า “ก๋นไต” คาดด้วยเข็มขัดเสื้อ ตัวในใช้เสื้อเชิ้ต มีเสื้อกล้ามรองชั้นในอีกชั้นหนึ่ง เสื้อตัวนอกเป็นเสื้อคอกลมแขนยาว ไหล่เลยลงมาต่อตะเข็บตรงกึ่งกลางแขนผ่าหน้าติดด้วยกระดุมขอดห้าคู่ ด้านหนึ่งใช้ผ้าขอดเป็นหัวกระดุมลักษณะ หัวแมลงวัน อีกด้านหนึ่งทำเป็นห่วงเย็บติดขนานกันเหลือห่วงตรงหัวผ้าเป็นหูกระดุมแล้วนำหัวกระดุมมาสอดเข้ากับหูกระดุม จะมีชายผ้าเป็นทางเย็บทอดต่อจากหัวและหูกระดุมทั้งสองข้างยาวด้านละประมาณ ๒ นิ้ว ตัวยาวเท่าสะโพก เรียกว่า “เส้อแต้กปุ่ง” มักใช้ในโอกาสที่เป็นงานในพิธี
ผู้หญิง
คนในสมัยก่อนนิยมตัดเสื้อผ้าตัวใหญ่ ๆ ให้ลูกสวมใส่หรือใส่เสื้อผ้าสืบทอดกันไปในหมู่พี่น้อง ทั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัด เมื่อโตพอที่จะสวมผ้าซิ่นได้แล้ว แม่ก็จะสอนให้นุ่งผ้าซิ่นคาดเข็มขัด เสื้อชั้นในจะใช้เสื้อปักลายลูกไม้ที่ด้านหลัง ยกทรงเล็กน้อยตีเกล็ดถี่ๆไว้บนทรง บ่าใหญ่ประมาณ ๒ นิ้วมือ เป็นเสื้อผ่าหน้าใช้เข็มกลัดหรือติดกระดุมเรียกว่า “เส้อปิ๊ดจ่า” สวมเสื้อไตหน้าต่อทับด้านนอก ผู้ใหญ่ใช้ “เสื้อไตหน้าแว๊ด”แบบเสื้อชาวจีน คอกลมแต่ชายเสื้อสั้นแค่เอวมีกระดุมขอดสอดกับหูกระดุมอีกด้านหนึ่งเช่นเดียวกับเสื้อชาย หรือใช้กระดุมชุดที่ทำจากพลอยพม่า ถ้าใช้กระดุมชุดพลอยกระดุมผ้าที่เย็บติดกับตัวเสื้อจะเย็บเป็นหูทั้งสองข้าง ใช้ห่วงของกระดุมพลอยสอดคล้องกับหูของกระดุมผ้า แล้วใช้เม็ดพลอยลอดห่วงผ้าอีกข้างหนึ่งเพื่อลอดรั้งไห้ติดกันไว้ทั้งสองข้าง ผ้าซิ่นจะใช้ผ้าที่มีลวดลายเป็นส่วนใหญ่ เย็บตะเข็บเดียวเป็นผ้าถุงธรรมดา สมัยก่อนจะใช้ผ้าเนื้อนิ่มสีดำต่อตรงเอวเรียกว่า“หัวซิ่น”เวลานุ่งผ้าก็จะเหน็บชายหัวซิ่นได้แน่น ใช้เข็มขัดเงินคาดทับผ้าซิ่นแต่ละแบบที่หญิงไตนิยมใช้จะเรียกต่างๆกันไป
แหล่งอ้างอิง
https://b0m2006.wordpress.com/category/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88/
https://padungkait123.wordpress.com/fee-style/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C/%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น